ชื่อไทย ยัยตัวร้าย กับนายเจี๋ยมเจี้ยม
ชื่ออื่นๆ Yupgi Girl
ประเภท Comedy / Romance
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์เรื่อง My Sassy Girl มีจุดเริ่มต้นจากวัฒนธรรมการใช้คำ yup-gi (คำในภาษาเกาหลีที่ใช้แสดงความคิดที่แปลก แหวกแนว ไม่ซ้ำใคร และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว) อันแพร่หลายทางอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ในเดือนสิงหาคม ปี 1999 เรื่องราวใน My Sassy Girl เริ่มต้นขึ้นมาจากคอลัมน์ Na-oo-Noo-ri ซึ่งเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องเล่าแนวตลกขบขันทางอินเตอร์เน็ต ที่เล่าเรื่องราวความรักระหว่างชายหนุ่มคนหนึ่งกับแฟนสาวของเขาเอง เป็นเรื่องราวความรักอันพลิกผันกลับไปกลับมาจนหาความแน่นอนมิได้ ระหว่างนักศึกษาหญิง ผู้มีบุคลิกปรวนแปรเข้าใจยาก กับนักศึกษาหนุ่ม ผู้มีบุคลิกซื่อใสไร้เดียงสา ซึ่งเพิ่งกลับมาเรียนต่อ หลังจากต้องไปทำหน้าที่ทหารรับใช้ชาติเสียนานปี
เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังอย่างมากมายในหมู่ผู้เล่นอินเตอร์ เน็ต และชื่อของผู้เขียนซึ่งก็เป็นชื่อเดียวกับชื่อตัวละครในเรื่องที่เขียนทาง อินเตอร์เน็ตด้วยคือ Gyunwoo 74 อันเป็นนามแฝงของ Kim Ho-sik ชายหนุ่มที่แฟนๆ นักอ่านหญิงจำนวนมากมายพากันชื่นชมหลงใหล จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังภายในเวลารวดเร็ว และเพราะนักอ่านต่างก็ทราบกันดีว่าเรื่องราวที่ Gyunwoo 74 เขียนเล่าไว้นั้นเป็นเรื่องจริง Kim จึงถูกขอร้องจากบรรดาแฟนๆให้เปิดเผยชื่อจริงของหญิงที่เขาเรียกเธอว่า ยอดยาหยี (My Sassy Girl) อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งปัจจุบัน คอลัมน์นี้ที่อยู่บนเว็บไซต์ก็ยังคงได้รับความนิยมล้มหลามจากบรรดาแฟนๆอยู่ เช่นเดิม และข่าวคราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้มันกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจ ของผู้คนอีกครั้ง
ครึ่งแรก (First Half)
ยกที่หนึ่ง - พบ ยอดยาหยี (My Sassy Girl) ในรถไฟใต้ดิน!
ผมกับเธอ…เราขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนเดียวกัน ก็คือขบวนที่วิ่งไปเมืองอินชอนนั่นเอง ผมเห็นเธอท่าทางโซเซเหมือนกำลังเมา ก็เลยคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่าถ้าผมจะเข้าไปช่วยพยุงเธอไว้ในอ้อมแขน มันก็คงจะจ๊าบและเจ๊งดีไม่น้อย เฮ้..เฮ้..เฮ้! มันตลกดีใช่มั้ยล่ะ! ผมว่าลักษณะท่าทางของเธอในยามที่ดูเมาๆ ยังงี้แหละ มันช่างน่ารักเสียไม่มีจริงๆ และทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย ยิ่งเห็นร่างของเธอสั่นไหวน้อยๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำใจผมแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่เอาเลยเชียวแหละ
แล้วในที่สุด โอ๊ะ! เอิ๊ก! อ๊ากกก! เฮ้อ..นั่นแหละใช่เลย! แป๊บเดียวเท่านั้นเอง ที่เธอใช้หัวเหม่งของนายคนที่อยู่ตรงหน้าเธอแทนกระโถน เธอทำจริงๆ นะครับ!! ในชั่วเสี้ยววินาทีที่รถไฟทั้งขบวนมันสั่นสะเทือนโคลงเคลงนั่นแหละ เห็นแล้วผมขำกลิ้งแทบตาย แล้วต่อจากนี้แหละที่เวรกรรมมันมาเกิดขึ้นกับผมบ้าง คือหลังจากที่แม่สาวคนนี้เธออ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุงแล้ว จู่ๆ เธอก็หันมามองผมด้วยแววตาที่ดูเหมือนเลอะๆ เลือนๆ ยังไงชอบกล จากนั้นก็พูดกับผมหน้าตาเฉยเลยว่า “ที่รัก! โอ โอ้ว ที่รักขา เอิ๊ก!”
ยกที่สอง – ความรู้สึกดีๆมีให้เธอ
ท่าทางเธอก็ไม่ค่อยปลื้มกับมันเท่าไหร่นักหรอก แต่ความเจ็บปวดจากการโดนคนอื่นทิ้งมาก็ดูจะเป็นเรื่องสาหัสเอาการสำหรับเธอ เหมือนกัน ผมเองก็อดที่จะเสียใจไปกับเธอด้วยไม่ได้ พร้อมกันนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกับมีลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาในหัวใจ ใช่แล้ว! ลองหาวิธีช่วยรักษาความเจ็บปวดของเธอดีกว่า!!
ยกที่สาม
ถ้าเธอเกิดสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นมันมีความลึกเท่าไหร่ ก็เชื่อได้เลยว่าเธอต้องผลักผมลงไปก่อนที่จะหยุดคิดทบทวนว่ามันควรทำหรือ เปล่า! แต่ผมก็เชื่ออีกเหมือนกันว่าเธอจะต้องกระโดดตามผมลงไป นี่หมายความว่าถ้าผมตกลงไปจริงๆ น่ะนะ พูดถึงเรื่องวันเกิดของเธอ หากคุณเผลอทำเสียงผิวปากให้เธอได้ยินเข้าล่ะก็ รับรองได้เลยว่าคุณถูกฆ่าแน่ๆ แม้ว่าเธอจะยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยผมไว้จากการถูกจับเป็นตัวประกันใน สถานการณ์ที่เหมือนยืนอยู่บนปากเหวก็ตาม! ซึ่งเธอก็มักจะทำอย่างนั้นบ่อยๆ เสียด้วย! ผมว่าเธอเป็นผู้หญิงก๋ากั่นที่ใครไปไหนมาไหนด้วย ก็จะได้รับอารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงถึงสองแบบ คือทั้งสนุกสุขสันต์และสั่นประสาทในคราวเดียวกัน
ครึ่งหลัง (Second Half)
ยกที่หนึ่ง - หากเราอยากรู้ว่าความรักคืออะไร? ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานๆ!
ล่วงมาถึงตอนนี้ เธอหัวเราะเก่งขึ้นมาก การได้นั่งมองเธอยิ้มอย่างมีความสุข ก็ทำให้ผมมีความสุขจนพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียว ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ผ่านมานั้นผมได้ช่วยอะไรเธอไปบ้าง ผมไม่คิดหรอกนะครับว่าผมจะได้ทำหน้าที่เป็นคนปกป้องเธอ หรือแสดงความรู้สึกทุกอย่างให้เธอรับรู้ หรือเป็นคนช่วยรักษาแผลใจให้เธอ ผมเพียงแต่รู้สึกว่าวาระของการที่ผมจะไม่มีเธออยู่ข้างๆ มันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ยกที่สอง
สำหรับในวันนี้ เราทั้งคู่ต่างก็นำเอาความรู้สึกที่มีให้แก่กันและกันนั้นใส่ลงในยานแค็ปซูล แห่งกาลเวลา และตั้งเวลาให้มันเดินทางล่วงหน้าไปอีกสองปีนับจากนี้ จนถึงในวันที่เราทั้งคู่ไปเปิดยานแค็ปซูลนี้ด้วยกัน และเราก็จะได้มาร่วมกันสำรวจตรวจสอบถึงความรู้สึกที่มีให้แก่กันว่ามันจะยัง เหมือนเดิมหรือเปล่า เท่านั้นแหละครับ เธอก็โพล่งออกมาทันทีทันควันเลยว่า “งั้นเรามาเลิกกันดีกว่า!”
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ (Overtime)
ความรักของผมยังไม่จบลงง่ายๆ หรอกนะครับ เราสองคนก็แค่แยกจากกันในวันนี้ เพื่อจะได้พบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ณ เวลานี้ที่เราจากกัน ทว่าวันหนึ่งนั้นเราจะต้องได้กลับมาพบกันอีกแน่นอน แม้มันจะไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้อย่างวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ตาม แต่ผมก็เชื่อว่าเราทั้งคู่จะต้องได้พบกันอีก
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
0 comments:
Post a Comment